สกาย สปอร์ตส์ สื่อยักษ์ของอังกฤษเผยความคืบหน้าในการเสาะหากุนซือคนใหม่ของ เชลซี ว่าเริ่มเจรจากับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อดีตผู้จัดการทีม สเปอร์ส เพิ่มอีกรายแล้วเพื่อสอบถามถึงวิสัยทัศน์

เชลซี ยังไม่คิดแต่งตั้งกุนซือคนใหม่อย่างเป็นทางการให้ทำหน้าที่แทน โธมัส ทูเคิ่ล หลังผ่านการเจรจากับ หลุยส์ เอ็นรีเก้ และ ยูเลี่ยน นาเกิ้ลส์มันน์ ไปแล้ว รวมถึง รูเบน อโมริม ด้วยโดยพวกเขาเลือกดึง แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมาคุมทีมชั่วคราว และต้องสังเวยผลลัพธ์ด้วยการแพ้สี่นัดรวด กระเด็นตกรอบแปดทีมถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ไปหมาดๆ

อย่างไรก็ดี สกาย รายงานว่า สิงห์บลูส์ มีกุนซือที่พวกเขาเล็งเอาไว้ในลิสต์ห้าราย และถึงขณะนี้อดีตนายใหญ่ทีมชาติ สเปน กับกุนซือทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ถูกกาชื่อทิ้งไปแล้ว และทำให้ นาเกิ้ลส์มันน์ ที่โดน บาเยิร์น มิวนิค ปลดเมื่อเดือนมี.ค.รั้งตำแหน่งเต็งจ๋า

กระทั่งล่าสุดเมื่อ 20 เม.ย. สื่อเจ้าดังกล่าวอ้างว่าทีมเงินถังแห่งกรุงลอนดอนเริ่มต้นถกกับ โปเช็ตติโน่ ที่ยังว่างงานอีกรายแล้วหลังจากเขาถูก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตะเพิดเมื่อเดือนก.ค. 2022 โดยกุนซืออาร์เจนไตน์วัย 51 ปีถูกลือว่าเคยได้รับการทามทาบจาก เรอัล มาดริด มาแล้วถึงสองหน อีกทั้งบอกปัดข้อเสนอของหลายทีมดัง และยังตกเป็นข่าวกับ ไก่เดือยทอง อดีตสโมสรที่ต้องการเจ้านายคนใหม่มารับช่วงแทน อันโตนิโอ คอนเต้ ด้วย

เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล เริ่มมองหาทายาทของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เอาไว้แล้ว และมีแผนคว้าตัว นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ศูนย์หน้าทีม แอธเลติก บิลเบา มาร่วมสังกัด

คล็อปป์ นายใหญ่ หงส์แดง ถูกมองว่าเริ่มเป็นกังวลถึงอายุการค้าแข้งของ ซาลาห์ เนื่องจากสตาร์ทีมชาติ อียิปต์ มีอายุ 30 ปีแล้ว และแม้เขาจะยังเป็นที่พึ่งของทีมในการทะลวงประตูคู่แข่งโดยซีซั่นนี้เจ้าตัวสอยตาข่ายไปแล้ว 24 ประตูในทุกรายการ แต่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเน้นมองไปถึงอนาคตด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวเตรียมโละนักเตะออกไปแบบล้างบางในซัมเมอร์นี้เพื่อถ่ายเลือดใหม่เนื่องจากยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ล้มเหลวในการสานต่อความสำเร็จจากซีซั่นก่อนที่มีลุ้นคว้าแชมป์ถึงสี่รายการ และต้องการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อีกชุด

สำหรับแผงรุก เอล มุนโด้ สื่อเมืองกระทิงระบุเมื่อ 18 เม.ย. ว่า คล็อปป์ ให้ความสนใจในตัว วิลเลี่ยมส์ ปีกทีม บิลเบา โดยดาวเตะวัย 20 ปีตกเป็นข่าวลือกับสังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ มาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ซีซั่นนี้เขามีผลงานยิงได้ 8 ประตู และ 6 แอสซิสต์ในทุกรายการ

ด้าน อินยากี้ พี่ชายซึ่งเล่นให้กับ บิลเบา เช่นกันกล่าวชมน้องชายว่า "ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง ไม่มีใครหยุดเขาได้ เขามีความสามารถ เป็นเพชรที่พร้อมถูกเจียระไน"

อย่างไรก็ดี กอร์ก้า กูรูเซต้า กองหน้าอีกรายวัย 26 ปีของถิ่น ซาน มาเมส ได้เปิดอกว่าไม่อยากให้ วิลเลี่ยมส์ ย้ายสโมสร

"นิโก้ มีโอกาสมากที่จะเล่นให้กับทีมอื่นเพราะเขามีคุณภาพ"

"เขาอาจมองถึงหลายๆเรื่องทั้งแชมป์ รายได้...นักเตะมองถึงสิ่งที่เขาต้องการในชีวิต สำหรับผม ผมหวังว่าเขาจะเล่นให้ บิลเบา ต่อไปเพราะเขาสามารถช่วยเราคว้าแชมป์ได้"

ท็อดด์ โบลีห์ เศรษฐีอเมริกันตกเป็นข่าวหมดความอดทนบุกเข้าห้องแต่งตัวไปจวกนักเตะ เชลซี ว่าสร้างผลงานได้อย่างน่าละอายหลังจบเกม พรีเมียร์ลีก นัดแพ้คารังต่อ ไบรท์ตัน 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

เชลซี ในยุคของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ขัดตาทัพสานต่อผลงานสุดเลวร้ายแพ้สามนัดรวดในทุกรายการโดยเฉพาะเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่ต้อนรับการมาเยือนของ นกนางนวล นั้น สิงห์บลูส์ เป็นฝ่ายได้ประตูออกนำก่อนตั้งแต่ต้นเกมด้วยจากฝีเท้าของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ แต่สุดท้ายโดนทีมเยือนแซงชนะจนได้โดย แดนนี่ เวลเบ็ค กับ ฮูลิโอ เอ็นซิโซ่ เป็นฮีโร่ของอาคันตุกะ

ต่อผลงานดังกล่าวของทีมเงินถังแห่งกรุงลอนดอน เดอะ การ์เดี้ยน เผยเมื่อ 17 เม.ย.ว่า โบลีห์ เจ้าของสโมสรทนไม่ได้ถึงกับต้องเข้าห้องแต่งตัวหลังจบเกมไปจวกนักเตะว่าสโมสรมีอันดับตารางที่น่าอับอายที่ต้องหล่นมารั้งอันดับ 11ทั้งๆที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเงินเสริมทัพมากถึง 600 ล้านปอนด์ (ราว 25,818 ล้านบาท) นับตั้งแต่เทคโอเวอร์

รายงานข่าวเผยว่า โบลีห์ เปิดโอกาสให้ แลมพาร์ด พูดกับนักเตะก่อน และจากนั้นเขาก็วิจารณ์ผลงานของสโมสร แถมมีนักเตะหนึ่งรายที่โดนจวกยับด้วย แต่ไม่มีการเผยชื่อว่าเป็นใคร

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว แลมพาร์ด เผยกับสื่อว่าเป็นเรื่องปกติที่ โบลีห์ จะเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อคุยกับนักเตะซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีอารมณ์ร่วม

"ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ หากเจ้าของต้องการคุยกับนักเตะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของเกมยุคใหม่ มันแสดงให้เห็นถึงแพสชั่นของเขา" แลมพาร์ด กล่าว

ด้าน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า กัปตันทีมในเกมแพ้ ไบรท์ตัน ยอมรับว่าเจ้าของทีมเข้ามาในห้องแต่งตัวจริง แต่ปฏิเสธที่จะบอกว่าเขาคุยอะไรกับนักเตะ

"ท็อดด์ เข้ามาในห้องแต่งตัวทุกเกม เขาคุยกับเราหลายเรื่องในแต่ละเกม ผมไม่ขอบอกว่าเขาพูดอะไร มันเป็นเรื่องปกติที่เขาเข้ามา" นายทวารค่าตัวแพงเอ่ยเมื่อ 17 เม.ย.

ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ผู้สื่อข่าวคนดังเผย สเปอร์ส ตัดสินใจถึงนายทวารคนใหม่ที่พวกเขาต้องการดึงมาเป็นตัวแทนในอนาคตของ อูโก้ โยริส ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยเล็งไปที่ ดาบิด ราย่า มือกาวทีม เบรนท์ฟอร์ด สโมสรใน พรีเมียร์ลีก ด้วยกัน แม้จะต้องต่อกรกับหลายทีมก็ตาม

สเปอร์ส จำเป็นต้องเสาะหาผู้รักษาประตูคนใหม่ตั้งแต่เนิ่นๆเนื่องจาก โยริส มีอายุ 36 ปีแล้ว และจะเหลือสัญญาจนจบซีซั่นหน้าหลังจากเขาเฝ้าตาข่ายให้ ไก่เดือยทอง มานาน 11 ปี

เท่าที่ผ่านมา สเปอร์ส ตกเป็นข่าวกับจอมเซฟหลายรายทั้ง จอร์แดน พิคฟอร์ด และ ดีโอโก้ คอสต้า ของทีม เอฟเวอร์ตัน และ ปอร์โต้ กระทั่งล่าสุดแนวโน้มหันมาเป็น ราย่า เนื่องจากเขาเหลือสัญญากับ เดอะ  บีส์ จนจบซีซั่นหน้าเช่นกัน และปฏิเสธที่จะต่อสัญญาใหม่หลายรอบแล้วตามที่ โธมัส แฟร้งค์ กุนซือชาวเดนมาร์คยอมรับ

ต่อกรณีของจอมหนึบสแปนิช โรมาโน่ เผยว่า สเปอร์ส เล็งไปที่ ราย่า เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเนื่องจากผู้รักษาประตูวัย 26 ปีมีค่าตัวไม่แพงโดยเชื่อว่า เบรนท์ฟอร์ด พร้อมปล่อยเขาหากได้รับทรัพย์ไม่น้อยกว่า 35 ล้านปอนด์ (ราว 1,505 ล้านบาท)  แต่แน่นอนว่ามีหลายทีมที่สนใจเซ็นสัญญากับอดีตผู้รักษาประตูทีม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส รายนี้

ทั้งนี้ สเปอร์ส ซึ่งยังมองหากุนซือคนใหม่ รวมทั้งต้องการคว้าอันดับท็อปโฟร์มีคิวลงเล่นในบ้านต่ออีกนัดรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ในศึก พรีเมียร์ลีก เสาร์นี้

เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันเมื่อวันจันทร์ที่ 10 เมษานที่ผ่านมาว่า ได้แต่งตั้ง ดีน สมิธ ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม "จิ้งจอกสยาม" จนกระทั่งจบฤดูกาลนี้

อดีตนายใหญ่ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า และ "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช ซิตี้ จะเข้ามาทำหน้าที่แทน เบรนดอน ร็อดเจอร์ ซึ่งถูกไล่ออกเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากนำทีมตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น

สำหรับ สมิธ มีภารกิจสำคัญในการช่วย เลสเตอร์ ให้ทำผลงานให้ดีที่สุดในช่วง 8 เกมสุดท้ายของฤดูกาล 2022/2023  และรอดพ้นจากการหล่นไปเล่นในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014

แถลงการณ์ของ "เดอะ ฟ็อกซ์" ระบุว่านอกจาก สมิธ จะทำหน้าที่เป็นกุนซือแล้ว พวกเขาจะได้กลับมาร่วมงานกับ เคร็ก เช็คสเปียร์ อดีตนายใหญ่ของทีม และ จอห์น เทอร์รี่ ตำนานกองหลังกัปตันทีมเชลซี

"การแต่งตั้งครั้งนี้จะทำให้เราได้เห็นการกลับมาของ เคร็ก เช็คสเปียร์ อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองของ เลสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้ง นอกจากนี้ทีมสตาฟฟ์โค้ชยังมี จอห์น เทอร์รี่ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษด้วย" แถลงการณ์ฉบับเดิม ระบุ

ขณะเดียวกัน สมิธ ยอมรับว่ามีความสุขมากๆ ที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญนี้ "ผมมีความสุขจริงๆ ที่ได้รับโอกาสให้คุมทีมในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้  ความท้าทายที่อยู่ตรงหน้าเรามันชัดเจนมากๆ แต่มันเคยเป็นท้าทายที่ผมกับทีมโค้ชของผมเคยมีประสบการณ์มาก่อน"

"ด้วยคุณภาพของขุมกำลัง และจำนวนเกมที่เหลืออยู่ ยังมีโอกาสที่จะประสบการณ์สำเร็จ งานแรกของเราก็คือการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ทีม และผมตั้งตาคอยที่จะได้ทำงานร่วมกับนักเตะทุกคนในสัปดาห์นี้"

สำหรับเกมแรกในการทำงานของ สมิธ ก็คือนำ "เดอะ ฟ็อกซ์" ดวล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันเสาร์ที่ 15 เม.ย.นี้ จากนั้นต้องดวลกับ วูล์ฟส์, ลีดส์, เอฟเวอร์ตัน, ฟูแล่ม, ลิเวอร์พูล, นิวคาสเซิ่ล และตบท้ายพบ เวสต์แฮม

"วันเสาร์นี้จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญ แต่มันเป็นโอกาสที่จะเตือนเราทุกคนถึงความหมายของการเป็นสโมสรในพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นการแข่งขันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพร้อมกับต้องสู้กับนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก"

"ผมรู้ว่าเราจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากแฟนบอลที่เดินทางไปให้กำลังใจเรา เราต้องเชื่อมโยงกับสิ่งนั้น และทำให้พวกเขาได้เห็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้พวกเขาภาคภูมิใจ เราจะไปที่นั่นพร้อมกับแนวคิดด้านบวก และคาดหวังที่จะเก็บคะแนนให้ได้" สมิธ ร่ายยาว

คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่า "ในนามของทุกคนที่เลสเตอร์ ซิตี้ ผมขอต้อนรับ ดีน สมิธ อย่างอบอุ่นสู่สโมสรของเรา ความเป็นผู้นำ การฝึกสอน และคุณสมบัติในการสร้างแรงบันดาลใจของเขาจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเราในอีก 8 เกมข้างหน้า ในขณะที่เราต่อสู้เพื่อรักษาสถานะพรีเมียร์ลีกของเรา"

"ฤดูกาลนี้ เราต้องเจอสถานการณ์ที่ท้าทาย แต่เรามั่นใจว่าทีมของเรามีคุณภาพที่จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ประสบการณ์ของดีน จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพนั้น ช่วยให้ทีมค้นพบความมั่นใจอีกครั้ง รวมถึงการได้รับสนับสนุนจากแฟนบอลของเรา ซึ่งจะมีความสำคัญมากในช่วงแปดนัดสุดท้ายของฤดูกาล การสนับสนุนของแฟนบอลเป็นพื้นฐานที่สำคัญของทุกสิ่งที่เราประสบความสำเร็จในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา และจะมีบทบาทอีกครั้งในช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของเรา นี่คือการต่อสู้ที่เราสามารถชนะไปด้วยกัน"

"ผมขอให้คุณสนับสนุนทีม ต่อสู้กับพวกเขาเพื่อทุกเป้าหมาย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งให้กับสโมสรแห่งนี้ แฟนบอลทุกคน นักเตะทุกคน สต๊าฟทุกคน เราต้องสนับสนุนทีม และผู้จัดการทีมใหม่ของเรา เราจะประสบความสำเร็จร่วมกันในฤดูกาลนี้"

ดีน สมิธ มีประสบการณ์ในฐานะโค้ชและผู้จัดการทีม มากว่า 12 ปี ซึ่งเขาได้คุมทีมเกือบ 600 นัด ให้กับทีมอย่าง วอลซอลล์, เบรนท์ฟอร์ด, แอสตัน วิลล่า และ นอริช ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีก เขาพา วิลล่า เลื่อนชั้นในฤดูกาลแรกที่เขาเข้าคุมทีม เขานำทีมประสบความสำเร็จในช่วงท้ายฤดูกาลเพื่อความอยู่รอดในลีก ฤดูกาล 2019/20 ซึ่ง วิลล่า สามารถรอดตกชั้นโดยมีแต้มห่างจากโซนตกชั้น 4 คะแนน

ดีน สมิธ จะพบกับนักเตะทีมชุดใหญ่ และเข้าร่วมการฝึกซ้อมที่สนามซ้อมเลสเตอร์ ซิตี้ เทรนนิ่ง กราวน์ ในวันอังคาร และจะมีการแนะนำตัวต่อสื่อในสัปดาห์นี้ก่อนการเดินทางไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยมในวันเสาร์ที่ 15 เมษายนนี้

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ออกอาการหน่ายหัวใจที่ซีซั่นนี้ หงส์แดง ไม่อาจคว้าผลลัพธ์ที่ดีได้ รวมถึงเกมล่าสุดที่น่าจะแซงชนะ อาร์เซน่อล เห็นๆแม้ทีมของเขาจะต้องไล่ตีเสมอทีม ปืนใหญ่ 2-2 ก็ตามจากที่ตกเป็นรองก่อนสองประตูในการฟาดแข้งศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เม.ย.

คล็อปป์ เปิดปากครวญกับนักข่าวว่า ลิเวอร์พูล สมควรชนะสถานเดียวจากโอกาสที่เปิดกว้างให้ในช่วงท้ายเกมหลังตีเสมอได้สำเร็จแล้วซึ่งเขาบ่งชี้ว่าเป็นภาพชินตาของ เร้ด แมชีน ในซีซั่นนี้ไปซะแล้วที่ทิ้งโอกาสคว้าชัยชนะไปหลายนัด

"มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในซีซั่นนี้ ทั้งสองทีมเปิดเกมรุกเข้าหากัน พวกเขาได้ประตูสองครั้ง เราตอบสนองได้ดี มันเป็นเกมที่น่าดูในท้ายที่สุด ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังไงเราถึงจะชนะได้เมื่อมองถึงโอกาสที่เรามีในช่วงท้าย"

"ผมมีทั้งความแฮปปี้และไม่แฮปปี้ปะปนกัน ผมไม่มีปัญหากับผมเสมอ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่ดี แต่พวกเขาน่าจะแพ้เกมนี้ ผลเสมอเป็นผลดีสำหรับพวกเขา"

"เรามีโอกาส แต่เราคว้าเอาไว้ไม่ได้ พวกเขามีเกมที่ไหลรื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ประตูจากโอกาสแรก ประตูตีไข่แตกช่วยเราได้มาก บรรยากาศเป็นไปด้วยดี และเราได้ประตูตีเสมออย่างถูกจังหวะ"

"นับจากนั้นเราก็คุมเกมอยู่หมัด เราสมควรได้หนึ่งแต้มเป็นอย่างน้อย หาก อิบู โกนาเต้ ใช้หัวของเขาจากโอกาสสุดท้าย มันก็จะเป็นประตู บางทีเขาน่าจะลื่น เขามีโอกาส"

ต่อข้อถามถึงการมีปัญหากันในช่วงจบครึ่งแรกระหว่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับผู้ช่วยผู้ตัดสิน คล็อปป์ เอ่ยว่า "ไม่มีอะไร ผมรู้ว่ามันเกิดขึ้น แต่ผมไม่ได้มอง หากมันเกิดขึ้น ภาพจะพูดออกมาเอง"

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชี้ เออร์ลิง ฮาลันด์ ตัวพลิกเกมของจริง หลังทีมบุกกะซวก เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 พร้อมระบุ ลูก 3-0 ฮาลันด์ ยิงได้มหัศจรรย์สุดๆ

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวชื่นชม เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าคนเก่ง เป็นตัวทีเด็ดพลิกเกม หลังจากที่ ยอดดาวยิงชาวนอร์วีเจียนวัย 22 ปี ทำสองประตูสำคัญ ช่วยทัพ "เรือใบสีฟ้า" บุกถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา

ครึ่งแรกเกมทำท่าจะจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 แต่นาทีที่ 45 ฮาลันด์ ซึ่งเพิ่งกลับมาฟิตสมบูรณ์ ขึ้นโขกให้ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0 จากนั้นช่วงครึ่งหลังในนาทีที่ 58 "เรือใบสีฟ้า" หนีเจ้าถิ่นเป็น 2-0 จาก แจ็ค กรีลิช ก่อนที่ ฮาลันด์ โชว์ลูกยิงท่ายาก ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ นำ 3-0 และถือเป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้ด้วย

ถึงแม้นาทีที่ 72 "นักบุญ" ได้ประตูตีไข่แตกจาก เซกู มารา แต่หลังจากนั้นแค่ 3 นาที แมนฯ ซิตี้ มาได้ประตูปิดท้าย 4-1 จากการสังหารลูกจุดโทษของ ฮูเลียน อัลวาเรซ ที่ลงสำรองมาแทน ฮาลันด์ ซึ่งชัยชนะนัดนี้ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" ที่รั้งอันดับสอง ในตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก มีเพิ่มเป็น 67 แต้ม จากการลงแข่ง 29 นัด ไล่ อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูง ขึ้นมาเหลือ 5 แต้ม

"ประตูที่สองของเขา (ฮาลันด์) มหัศจรรย์มาก" กวาร์ดิโอล่า กล่าว "มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับลูกบอลที่ลอยสูงขนาดนั้น ความสามารถของเขามันสุดจริงๆ ช่วงครึ่งแรกฟอร์มของเรายังไม่ได้อยู่ในระดับที่ดี แต่เขาคือคนเปลี่ยนเกม"

"ช่วงสองทศวรรษที่น่าทึ่งนี้ เรามี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ เป็นสุดยอดจอมถล่มประตู แต่ตอนนี้เขาอยู่ในระดับนั้นเรียบร้อย เขาทำประตูได้อย่างมากมาย ผมแฮปปี้มากๆ กับ 65 นาทีที่เขาอยู่ในสนาม เขาช่วยเราได้อีกครั้ง"

นอกจากนี้ กวาร์ดิโอล่า ยังพูดถึงสถานการณ์การลุ้นแชมป์ลีกกับ อาร์เซน่อล อีกด้วย "ผมเองก็อยากให้ทีมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับที่ อาร์เซน่อล อยู่ตอนนี้นี่แหละ แต่สำหรับตอนนี้ต้องเน้น บาเยิร์น มิวนิค ก่อน (ซิตี้ จะเปิดบ้านดวล บาเยิร์น ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก วันอังคารที่ 11 เมษายนนี้)"

สำหรับฤดูกาลนี้ ฮาลันด์ กระทุ้งไปแล้ว 44 ประตู จากการลงเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ รวมทุกรายการ 38 นัด

ขึ้นแท่นเป็นคู่แข่งขันที่น่าเบื่อที่สุดประจำฟุตบอลอังกฤษไปแล้ว สำหรับ เชลซี VS ลิเวอร์พูล ที่ไม่สามารถเจาะประตูกันได้เลยแม้แต่ลูกเดียวจากการพบกัน 4 ครั้งหลังสุด ทั้งที่นับรวมโอกาสลุ้นพังตาข่ายของสองฝั่งแล้วมากถึง 103 ครั้งทีเดียว

เกมตกค้างระหว่างทีมสิงห์บลูส์กับหงส์แดงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่ไม่สามารถเจาะประตูกันได้ โดยที่ เชลซี ใกล้เคียงต่อการพังตาข่ายอย่างยิ่ง แต่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เซฟไว้ 3-4 หน และยังมีจังหวะที่ รีซ เจมส์ กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยิงเข้าแล้วโดนริบคืนด้วยวิดีโอช่วยตัดสิน (วีเออาร์) จากการล้ำหน้าและแฮนด์บอล ตามลำดับ

ผลที่เกิดขึ้น ทำให้คู่นี้นับเป็นหนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่ลงเอยด้วยการเสมอกัน 0-0 เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกัน ถัดจากคู่ เอฟเวอร์ตัน VS ลิเวอร์พูล 1974-1975 และ อาร์เซนอล VS ควีนส์พาร์ก เรนเจอร์ส 1992-1994

ประเด็นสำคัญอีกอย่างของคู่ เชลซี VS ลิเวอร์พูล คือการที่ทั้งสองฝั่งสามารถสร้างโอกาสจบรวมถึง 103 ครั้งใน 4 เกมหลังสุด (420 นาที ไม่รวมทดเจ็บ) แต่ก็กลับไม่สามารถเจาะตาข่ายกันได้แม้แต่ประตูเดียว และสองเกมในจำนวนนั้นต้องตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล ชนะทั้งสองแมตช์


ผลการพบกันของ เชลซี VS ลิเวอร์พูล 4 เกมหลังสุด

- คาราบาว คัพ 2021/22 : เชลซี 0-0 ลิเวอร์พูล (ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ 11-10)
โอกาสยิงรวม : 31 ครั้ง - เชลซี 11 / ลิเวอร์พูล 20

- เอฟเอ คัพ 2021/22 : เชลซี 0-0 ลิเวอร์พูล (ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษ 6-5)
โอกาสยิงรวม : 27 ครั้ง - เชลซี 10 / ลิเวอร์พูล 17

- พรีเมียร์ลีก 2022/23 : ลิเวอร์พูล 0-0 เชลซี
โอกาสยิงรวม : 26 ครั้ง - ลิเวอร์พูล 15 เชลซี 11

- พรีเมียร์ลีก 2022/23 : เชลซี 0-0 ลิเวอร์พูล
โอกาสยิงรวม : 19 ครั้ง - เชลซี 12 / ลิเวอร์พูล 7

เปิดโปรแกรมสุดโหดช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือในฤดูกาลนี้ของ เชลซี หลังจากส่อแววได้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามารับงานคุมทีมขัดตาทัพจนจบซีซั่นนี้

เชลซี กำลังจะได้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือชาวอังกฤษกลับมาคุมทัพเป็นรอบที่สองจนจบฤดูกาลนี้เพื่อมาขัดตาทัพแทน แกรห์ม พ็อตเตอร์ ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ โดยเวลานี้เหลือแค่การประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น

เวลานี้ ทัพ "สิงห์บลูส์" อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในการลุ้นตั๋วไปลุยฟุตบอลยุโรป หลังจากหล่นมารั้งที่ 11 จากการมี 39 แต้มจาก 29 นัด ห่างพื้นที่ท็อปโฟร์ถึง 14 คะแนนด้วยกัน

ทั้งนี้เมื่อดูจากโปรแกรมที่เหลือช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้นั้น ถือเป็นงานยากที่ แลมพาร์ด จะพาทีมติดพื้นที่ไปลุยฟุตบอลยุโรปทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ ยูโรปาลีก หลังจากพวกเขาต้องเจอศึกหนักกับโปรแกรมที่เหลือ โดยต้องดวลกับทีมในพื้นที่ท็อปโฟร์ทั้ง 4 ทีม แถมยังมีโปรแกรมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาคั่นกลางอีกด้วย

โปรแกรม เชลซี ที่เหลือในฤดูกาลนี้

(ย) วูล์ฟแฮมป์ตัน - 8 เม.ย.

(ย) เรอัล มาดริด - 13 เม.ย. (ชปล.)

(ห) ไบรท์ตัน - 15 เม.ย.

(ห) เรอัล มาดริด - 19 เม.ย. (ชปล.)

(ห) เบรนท์ฟอร์ด - 27 เม.ย.

(ย) อาร์เซน่อล - 29 เม.ย.

(ย) บอร์นมัธ - 6 พ.ค.

(ห) ฟอร์เรสต์ - 13 พ.ค.

(ย) แมนฯ ซิตี้ - 20 พ.ค.

(ห) นิวคาสเซิ่ล - 28 พ.ค.

(ย) แมนฯ ยูไนเต็ด (ยังไม่มีกำหนด) 

เอริค เทน ฮาก ระบุ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังจำเป็นต้องดึงแข้งดีๆ มาร่วมทัพอีก พร้อมกระตุ้นลูกทีมให้กลับมามีความกระหายในระดับที่ดีให้ได้

เอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่าทีมของตนจำเป็นต้องทำการเสริมทัพให้ดีมากกว่านี้อีก

แค่ซีซั่นแรกกับทีม เทน ฮาก ก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ มาครองได้ แต่หลังจากนั้นฟอร์มของทีมก็ดร็อปลงไปอยู่บ้างจนทำให้พวกเขาต้องกลับมาลุ้นกันเหนื่อยพอตัวในการชิงพื้นที่ 4 อันดับแรกของตารางคะแนน

"ผมคิดว่าเรารู้กันดีตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลนี้แล้วว่าเราต้องการนักเตะชั้นยอดมาเล่นที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเป็นเรื่องที่ชัดเจน ถ้ามีใครในทีมได้รับบาดเจ็บแล้วน่ะคุณก็ต้องการตัวแทนที่ดี รวมถึงต้องการคนที่จะมาช่วยทำให้เกิดการแย่งตำแหน่งกันภายในทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอยากลงเล่นถึง 4 รายการ (ภายในซีซั่นเดียวกัน)" เทน ฮาก ระบุ

กุนซือชาวดัตช์กระตุ้นลูกทีมให้กลับไปมีความกระหายในชัยชนะกันให้ได้ หลังจากพวกเขาเพิ่งทำผลงานได้น่าผิดหวังในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จนแพ้ไป 0-2 "แน่นอนว่าคุณต้องเล่นให้ถึงมาตรฐานในระดับหนึ่ง และผมเข้าใจดีว่าในระหว่างฤดูกาลนั้นมันไม่มีทางที่มาตรฐานจะอยู่ในระดับสูงได้อยู่ตลอด มันจะมีช่วงที่เกิดการผันผวนอยู่บ้าง แต่คุณต้องตระหนักว่าทำไมคุณถึงได้อยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง รวมถึงเรื่องที่ว่าอะไรทำให้คุณอยู่ในอันดับนั้นๆ"

"ปัจจัยของเรื่องที่ว่ามีทั้งความมุ่งมั่น, อารมณ์ร่วม, ความปรารถนา ซึ่งผมคิดถึงเรื่องเหล่านั้นจากทีมของผม ถ้าคุณปล่อยให้คู่แข่งที่เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้วเล่นได้ในระดับที่เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วล่ะก็ คุณก็จะโดนฆ่า และนั่นคือสิ่งที่เราทำเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา"